"ฝ่าบาท เสนาบดีคาเลียพะยะค่ะ"
เสียงขององครักษ์ดังสั่นประตู
แม้ว่าเธอไม่ได้กระตุ้นโสตประสาทมาก แต่หูที่ไวของเธอก็รับได้ถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าชายรัชทายาท
'......ท่านต้องอยู่ตรงนั้นแน่ๆ'
เธอได้ยินเสียงเก้าอี้ ไม่นานนักก็มีเสียงคนดิ่งลงไป หลังจากนั้นก็เหลือเพียงความเงียบ
ในความนิ่งงันนั้น คาเลียผายอกยกมือทำความเคารพ
เธอหายใจเข้าเต็มปอด
เธอไม่ได้กังวล แต่วันนี้มันต่างออกไปเมื่อเทียบกับวันอื่นๆ
การเกษียณ
ถึงที่ผ่านมาจะไม่นานมากแต่เธอก็ได้กลายเป็นอัศวินและต่อสู้เพื่อชีวิตของเธอ
กี่ครั้งแล้วที่เธอกระโดดเข้าไปในความอันตรายในฐานะที่เป็นองครักษ์ของเจ้าชายก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้น?
ตอนนั้นเธอยังเด็กนัก
เธอไม่ได้เหนื่อยล้า แต่ถ้าจำเป็นก็จะวางมือ
ที่นี่ไม่ต้องมีทหารเช่นเธออีกแล้ว
จริงๆ แบบนี้ก็ทำให้คาเลียเบาใจลงมาก
เธอถือดาบเพราะมีบางอย่างที่ต้องปกป้อง แต่เลือดที่หลั่งรินเพื่อให้ได้มาซึ่งการนั้นไม่ใช่แค่ของเธอผู้เดียว
'ช่วงเวลาโหดร้ายที่เราต้องห้ำหั่นผู้อื่นในนามของสงคราม น้ำตา เสียงกรีดร้อง และสายตาเคียดแค้น'
สงครามทอดทิ้งให้หลายคนต้องไร้พ่อ แม่ หรือแม้แต่ลูก
ถึงเธอจะไม่ได้มองอย่างละเอียดก็รู้ว่าดาบและกองทัพของเธอคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมาย
แต่เธอไม่มีความเสียใจแต่อย่างใด... ตอนนั้นเธอมีสิ่งที่ต้องปกป้อง ถ้าไม่สู้กลับ ก็เป็นศัตรูเสียเองที่จบชีวิตของพวกเธอ
สิ่งที่เธอทำคือจบสงครามให้เร็ว...และมีความสูญเสียน้อยที่สุด
คาเลียจึงกระโดดเข้าไปเสี่ยงตายและตัดหัวศัตรูขณะผ่านข้ามผ่านวิกฤตอันตรายทั้งหลาย
'แต่มันก็ผ่านมาแล้วล่ะนะ'
เธอมองประตูที่ปิดอยู่ด้วยใบหน้าที่เหมือนไม่ได้ผ่านสงครามมาเลยมาแต่น้อย
สักพักเธอก็ได้ยินเสียงอนุญาตให้เข้าไป
เมื่อเธอผลักประตูหนาและเดินเข้าไป เธอก็เห็นหลุยส์มอนด์นั่งอยู่ที่โต๊ะไม้โอ๊คขนาดใหญ่ตรงหน้าคาเลียกำลังมองมาที่เธอ
เขาเรียกชื่อของเธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างเสมอมา
"คาเลีย"
"ฝ่าบาท"
คาเลียเคลื่อนไปเบื้องหน้าหลุยส์มอนด์ด้วยความเร็ว ผมสีมะนาวที่มัดไว้ขยับเป็นคลื่นทะเล
สายตาของหลุยส์มอนด์ที่อ้อยอิ่งในตอนแรกเมื่อเห็นเส้นผมเหล่านั้นสั่นไหว แต่ไม่นานก็เลือนหายไป
เขาถามคาเลียด้วยร้อยยิ้มอ่อนโยนอย่างเจ้าชาย
"อืม มานี่สิ ข้าจำได้ว่าวันนี้วันหยุด อะไรหอบเจ้ามาถึงที่นี่กันล่ะ"
"ขอโทษที่ข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว พอดีข้ารีบเพราะมีธุระด่วน"
"เจ้าคงมีเรื่องอยากคุยมากสินะถ้าจะมาด้วยตัวเองขนาดนี้......งั้น....เราไปคุยกันที่อื่นดีมั้ย? เลีย?"
เธอสาวเท้าเข้ามาอีกหนึ่งก้าว
"ไม่เป็นไรเพคะ ใช้เวลาไม่นาน"
"งั้นเหรอ? ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าเจ้ามีเรื่องอะไร"
หลุยส์มอนด์กลับไปนั่งผ่อนคลายบนเก้าอี้ พิงหลังอย่างเนิบนาบแล้วควงปากกาไปมา
เขาพึมพำเหมือนมีอะไรจะพูดอย่างสนอกสนใจ
ปากกาหมึกซึมด้ามวิจิตรสะท้อนแสงไปมาบนนิ้วมือของเขา
เขายืดตัวบนเก้าอี้และยังคงควงปากกาไม่หยุดหย่อน
เขาทำอยู่อย่างนั้นโดยไม่ล่วงรู้เลยว่าคาเลียจะพูดถึงอะไร
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องจากทางหน้าต่าง
ใต้แสงสว่างที่ฟุ้งกระจายผ่านผ้าม่านสีขาว คาเลียหายใจอย่างสงบนิ่ง
เธอตัดสินใจไว้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกผิดต่อเจ้าชายอยู่ดี
เธอเหนื่อยที่จะเป็นพละกำลังของเขา.....
เมื่อถึงเวลาที่เขาได้เป็นจักรพรรดิ เธอไม่สงสัยเลยว่าตัวเองในฐานะคาเลียคงจะติดตามเขาพร้อมด้วยไซม่อน
'.....หลังผ่านไป เมื่อมันคงที่ ข้าจะกลับมาอีกครั้ง'
อย่างเร็วที่สุดหนึ่งปี เธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากนานกว่านี้
ถ้าเจ้าชายรัชทายาทต้องการเธอจริงๆ เธอจะกลับมาเป็นพละกำลังของเขาเสมอ
'ข้าต้องทำ'
หลุยส์มอนด์รอเธอพูดอย่างจดจ่อ การที่คาเลียวางตัวเงียบเชียบแบบนี้ไม่สมเป็นเธอมาก่อน
ตั้งแต่เธอเหลือแขนเพียงข้างเดียว ใบหน้าของเธอก็ดูจะยอมรับทุกอย่าง ******
หลังมองดวงตาสีน้ำเงินของหลุยส์มอนด์อย่างยาวนาน คาเลียก็เปิดปากช้าๆ
"ข้ามาเพื่อร้องขอการเกษียณ"
ปากกาที่หมุนควงไปมาชะงักกึกในมือของหลุยส์มอนด์
หลังจากหยุดกลางคัน หน้าตาบูดเบี้ยวแปลกๆ ก็สะท้อนขึ้นมาในใบหน้าของเขา หลุยส์มอนด์เอียงหัวราวกับฟังผิดไป
"ข้าน้าจะได้ยินผิดนะ......"
"ไม่เพคะ ท่านได้ยินถูกแล้ว ข้าอยากถอนตัว"
ในตอนนั้น ปากกาที่อยู่ในมือของเขาก็ตกลงมาบนโต๊ะ
มันกลิ้งไปสุดขอบแล้วตกพื้นเสียงดัง
หลังจากนั้นก็กลิ้งต่ออีกสองสามรอบ คาเลียหยิบมันขึ้นมาเมื่อมันอยู่ตรงหน้าเธอ
เธอเดินไปที่โต๊ะของไซม่อนแล้ววางลงอย่างระมัดระวังตรงหน้าเจ้าชาย ผู้ที่คาเลียเห็นว่าช็อกจนแข็งทื่อไป
"ข้าหวังว่าจะเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"
โครม!
เท้าที่ผลุนผลันของเขาทำให้เก้าอี้ของหลุยส์มอนด์ตกไปข้างหลัง
เขารีบลุกจากหลังโต๊ะ ทำหน้ายุ่งเหยิงก่อนเสียงดังปังจะดังขึ้น
คาเลียจับมือที่สั่นไหวของเขาแล้วยึดข้อม้อเขาอย่างรวดเร็ว
"เป็นอะไรมั้ยเพคะ?" คาเลียปกป้องเขาตามสัญชาตญาณ เธอถามขณะมองหน้าหลุยส์มอนด์ เขามองหน้าเธอในระยะใกล้ก่อนจะเด้งตัวขึ้น
"ให้ตายสิ มือของข้าไม่ใช่ประเด็น คาเลีย! เจ้าว่ายังไงนะ? เกษียณ?!"
คาเลียหน้าซีดด้วยความรู้สึกผิด เธอมองหลุยส์มอนด์ที่กำลังตวาดเสียงดังเป็นเชิงขอโทษ
หลุยส์มอนด์จะหัวเสียแค่ไหน เจ้าชายผู้สำรวมอย่างเขาถึงพูดติดขัดขึ้นมา
คาเลียที่พูดไม่ออกก้าวถอยหลัง อนิจจาหลุยส์มอนคว้าแขนเธอเอาไว้
"ทำไม! อยู่ๆ ก็มาพูดงี้ ทำไม?"
"ข้าเพียงอยากพัก"
"โธ่ คาเลีย! แค่บอกข้าว่าอยากพักร้อนดีๆ ก็ได้"
"ไม่ ข้าเกรงว่าต้องพูดว่าอยาก เกษียณ เพคะ"
หลุยส์มอนด์เริ่มเกลี้ยกล่อมเธอเหมือนไม่ได้ยินการปฏิเสธอย่างไม่สะทกสะท้านของคาเลีย
"เจ้าอยากไปเที่ยวที่ไกลๆ มั้ย? ไม่ว่าเจ้าอยากจะไปที่ไหน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะถูกเรียกเก็บในนามวังหลวงได้เลยนะ อยากไปไหนล่ะคาเลีย? แค่บอกมาเถอะ"
คาเลียส่ายหัวอย่างนอบน้อมแล้วตอบคำถาม
"ไม่มีเพคะ"
"ถ้าไม่ งั้นเจ้ามีปัญหาอะไรกับราชวงศ์เหรอ? มาดูกันว่าข้าลิสต์รายชื่อถูกมั้ย ใครกันน้า? อ้า ไซม่อน! เขาล่ะสินะ? ข้ารู้ๆ พวกเจ้าทำตัวขมขื่นต่อกันมาเดือนสองเดือนแล้วนี่! ใช่มั้ยๆ?"
ใช่ สองเดือนก่อนการขอเกษียณ งานเดิมๆ ที่เธอทำกับไซม่อนเข้ามามีส่วน แต่เขาไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจของเธอในครั้งนี้
ถึงไซม่อนจะมีความรับผิดชอบสูงมาก เธอก็จะบอกเจ้าชายรัชทายาทว่า 'ข้ามีลูกกับเขา' ไม่ได้
คาเลียหลับตาลงอย่างกระวนกระวายแล้วเผลอจับหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว
'จริงๆ ตอนนี้ก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่มันก็เหมือนไม่ใช่ความจริงสำหรับข้าอยู่ดี'
เป็นความรู้สึกปิติเล็กๆ พร้อมหัวใจที่เต้นระรัว แต่คาเลียอยากปัดความรู้สึกนั้นไปก่อน
'ความหวังเพียงน้อยนิดที่จะมีลูก ความหวังที่จะมีครอบครัวของข้า'
"ข้าอยากมีเวลาที่สงบสุข"
"เวลา?"
"เพคะ อันที่จริงมันก็อาจเป็นการเกษียณครั้งใหญ่อยู่..... ถ้าท่านต้องการข้า ข้าก็จะกลับมา แต่ถ้าเป็นช่วงนี้ล่ะก็คงไม่ได้"
"........."
"ข้าอยากถอนตัว"
คาเลีย แทกสเก็ท วีรสตรีสงครามมากกิตติศัพท์แห่งจักรวรรดิโรฮัส ประกาศก้องการเกษียณอย่างฉับพลัน
เธอบอกว่าอยากออกจากวังหลวงและสละตำแหน่งหน้าที่อย่างกะทันหันในเช้าวันพรุ่ง
หลุยส์มอนด์ที่ยังคงช็อกใช้แรงดันอกแล้วหมุนคออย่างเฉยเมย
'......เพราะอะไรกันนะ?'
เขามองคาเลียเพื่อสำรวจหาเบาะแสแต่ก็ไม่พบอะไรจากริมฝีปากปิดสนิทและแววตาซื่อตรงนั่น
หลุยส์มอนด์ที่กำลังหงุดหงิดตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเงียบสงบ
"ทำไมถึงตัดสินใจกะทันหันอย่างนั้น?"
"ข้าบอกนอกเหนือจากนี้ไม่ได้แล้วเพคะ แต่ข้าขอสาบานว่าจะไม่ทรยศต่อประเทศชาติและราชวงศ์"
"....คาเลีย ข้าไม่เคยมีความคิดว่าเจ้าจะทรยศข้า"
เมื่อได้ยินคำตอบของหลุยส์มอนด์ คาเลียยิ้มบางเบา
'อย่างงั้นเหรอ'
เป็นเกียรติที่ได้รับการไว้วางใจจากฝ่าบาท
เธอคิดคำตอบกลับอย่างลังเลครู่หนึ่ง
'ถึงข้าจะบอกรายละเอียดไม่ได้ก็น่าจะพูดพอสังเขปไว้บ้าง ยังไงข้าก็เก็บเป็นความลับทั้งชีวิตไม่ได้อยู่แล้ว'
"ข้าว่าข้ากำลังจะมีครอบครัว"
"....ว่าไงนะ?"
คาเลียตรงหน้าหลุยส์มอนด์ที่กำลังกัดปากเดินออกจากห้องและหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก
"ครอบครัวของข้า"
เป็นรอยยิ้มแบบที่หลุยส์มอนด์ไม่เคยเห็นมาก่อน รอยยิ้มที่เหมือนมีโลกอยู่ทั้งใบ
แต๊ก-
เมื่อประตูปิดลงสนิท คาเลียเดินลงมายังห้องโถงด้วยฝีก้าวเบาหวิว
'เอาล่ะ ผ่านมาได้แล้ว'
หลังได้พูดออกไป เธอก็รู้โล่งและสดชื่นขึ้นมาก
เป็นการพูดคุยที่นานกว่าที่เธอคิดไว้ ท้องฟ้ามืดมิดแต่โถงนี้สว่างไสวด้วยแสงไฟจากเวทมนต์
ไม่นานฤดูฝนก็จะมาถึง ในเดือนก่อนฤดูฝนเริ่มต้นนั้น กลางวันจะสั้นและกลางคืนจะยาว
ฤดูฝนของจักรวรรดิแสนสั้นแต่หนักหน่วง ประมาณสองสามสัปดาห์ที่ท้องฟ้ามืดมัวพร้อมสายฝนที่โหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน
แปลงเก็บเกี่ยวที่ไม่ได้รับการป้องกันมักจะพังทลายจากน้ำที่ไหลบ่า ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำก็จะประสบปัญหาน้ำท่วมจากฝนตกหนัก
กระทรวงเวทมนต์ของจักรวรรดิใช้เวทมนต์รับความเสียหายจากฤดูฝน
นี่เป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดของกระทรวงเวทมนต์
'ต้องเริ่มก่อนฤดูฝน จะไปตอนฤดูฝนไม่ได้ ไม่งั้นจะสายเกินไป'
คาเลียจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินใจให้เร็วที่สุด
'ต้องเตรียมหลายอย่างเลย ก่อนอื่น.....ข้าว่าควรจะไปเจอไซม่อนสักครั้ง'
ทหารที่ลาดตระเวร อัศวินที่เฝ้ายามทุกชั้น รวมถึงคนรับใช้ที่เดินผ่านไป ต่างก็โค้งแสดงความเคารพอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นร่างของเธอ
การอยากทักทายอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนอยู่ๆ ก็คุ้นเคยขึ้นมา ส่วนคาเลียจะตอบรับการทักทายนั้นด้วยการผงกหัวรับอย่างอ่อนโยน
ชนชั้นสูงส่วนใหญ่ไม่ตอบรับคำทักทายจากคนใช้ของตน แต่คาเลียไม่เคยเมินเฉยต่อพวกเขาหรือทำเหมือนพวกเขาไม่ใช่มนุษย์
เธอก็ไม่ใช่ชนชั้นสูงมาตั้งแต่แรกเเหมือนกันจึงไม่มีความคิดหยิ่งยโสโอหังในหัวของเธอ
'......ภาพแบบนี้ข้าก็คงต้องบอกลาด้วยสินะ'
คาเลียค่อยๆ ก้าวลงบันไดช้าๆ แล้วคิดอย่างเงียบสงบ
'บันไดชันชะมัด ว่าทำไมคนที่นี่ถึงได้ตัวบางกันจัง'
เธอเดินผ่านหน้าต่างที่บันไดที่เหมือนกำลังเรียกร้องให้เธอหันมอง บางสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็ปรากฏต่อสายตา
บางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเธอกำลังส่องประกายท่ามกลางแสงจันทร์ผ่านกระจกหน้าต่างหรูหรา
ฝีเท้าที่เต็มไปด้วยพละกำลังของเธอหยุดชะงัก
เธอเผลอเข้าใกล้หน้าต่างและมองใบหน้าสีซีดของชายผมเงินชะโลมไปด้วยแสงจันทร์
ชายที่มีหน้าตาละเอียดอ่อนและคมคายอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตปลดกระดุมและกางเกงอย่างง่าย
เขายืนตรงใจกลางสวนดอกกุหลาบที่งดงามระหว่างหอคอยกับพระราชวังหลัก แหงนหน้ามองดวงดาวที่เปื้อนกระจัดกระจายเต็มท้องฟ้าพร้อมกับซุกมือเอาไว้ในกระเป๋ากางเกง
สูดกลิ่นหอมดอกกุหลาบ ดื่มในคืนที่อากาศหนาวเหน็บ และเฝ้ามองดวงจันทร์สุกสกาว
ชายคนนั้นยืนมองท้องฟ้าด้วยท่าทางแบบนั้น
รัฐมนตรีหนุ่มกระทรวงเวทมนต์ ดยุกเทอร์รอนคนปัจจุบันของจักรวรรดิโรฮัส และพ่อของลูกในท้องของเธอ
กร๊าซซซซซ//คำรามแบบสัตว์ป่า กราบคนวาด
**** ตั้งแต่เธอเหลือแขนเพียงข้างเดียว ใบหน้าของเธอก็ดูจะยอมรับทุกอย่าง
เชรี่ยยยยยย โซชอค ฉันแปลเองฉันยังชอค ในมังงะไม่มีภาพนางแขนด้วนนะ ถ้าใช้แขนเทียมคงเป็นแขนเทียมที่เนียนมาก ต้นเรื่องเค้ายืนยันว่าแปลออกมาแล้วเปนงี้จริง
**** จริงๆ เลีย ในต้นฉบับออกเสียงว่า ลี แต่ต้นทางใช้คำว่า เลีย/ลีอา เราก็เอาตามต้นทางนะ ลีมันเป็นเสียงเอเชีย
ถ้าเค้าเป็นเพื่อนกันมานานก็ไม่น่าจะพูดศัพท์สูงมากหรอกเนอะ ส่วนคาเลียเราใส่เพคะไปเพราะเห็นว่านางทื่อๆ พูดเพคะไปงั้น
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น